หลังจากข่าวลือเกี่ยวกับอนาคตของ มาร์คัส แรชฟอร์ด วนเวียนในหน้าสื่ออยู่หลายเดือน ในที่สุด บาร์เซโลนา ก็ประกาศอย่างเป็นทางการถึงการเซ็นสัญญายืมตัวนักเตะรายนี้จากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจนถึงช่วงสิ้นสุดฤดูกาล 2025–26 โดยมีเงื่อนไข “ออปชั่นซื้อขาด” ในราคา 26 ล้านปอนด์
ข้อตกลงระบุอย่างชัดเจนว่า สโมสรจากสเปนจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าเหนื่อยของนักเตะทั้งหมดในระหว่างที่เขาอยู่ที่คัมป์ นู ขณะที่แรชฟอร์ดก็แสดงความตั้งใจจริงด้วยการ ยอมลดค่าเหนื่อยจากเดิม 325,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ เหลือราว 10 ล้านยูโรต่อปี เพื่อให้ดีลนี้เกิดขึ้นได้
ข้อตกลงนี้ทำให้แรชฟอร์ดกลายเป็นนักเตะอังกฤษรายแรกในรอบเกือบ 40 ปีที่ย้ายมาเล่นให้บาร์ซ่า ต่อจากตำนานอย่าง แกรี ลินิเกอร์

แรชฟอร์ดกับอโมริมบนสนาม ช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์เริ่มร้าวเมื่ออโมริมแสดงท่าทีสั่งปรับและตัดชื่อแรชฟอร์ดออกจากทีม ซึ่งกลายเป็นชนวนสำคัญ
ความขัดแย้งกับรูเบน อโมริม และชีวิตที่แอสตัน วิลล่า
การย้ายออกจากโอลด์ แทรฟฟอร์ดของแรชฟอร์ดไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของฟุตบอล แต่มีเบื้องลึกเบื้องหลังสำคัญ จากรายงานหลายสื่อระบุว่าเขามีปัญหาความสัมพันธ์กับ รูเบน อโมริม กุนซือชาวโปรตุเกสของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เข้ามารับงานเมื่อต้นฤดูกาล 2024–25
ความขัดแย้งเริ่มต้นจากพฤติกรรมระหว่างการฝึกซ้อมที่อโมริมมองว่าแรชฟอร์ด “ไม่ทุ่มเทเพียงพอ” ทำให้เขาถูกสั่งให้แยกซ้อมเดี่ยว และไม่มีชื่อในทีมเลยตั้งแต่เดือนธันวาคม 2024 เป็นต้นมา
หลังจากนั้น ยูไนเต็ดตัดสินใจปล่อยตัวแรชฟอร์ดให้กับ แอสตัน วิลล่า ยืมใช้งานในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล แม้จะมีจังหวะโชว์ฟอร์มดีเป็นระยะ แต่สุดท้ายอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อก็ทำให้เขาต้องจบฤดูกาลก่อนกำหนด

ช็อตแรกบนคัมป์นู ฟลิคยกมือทักทายแฟนบอลอย่างเป็นทางการ พร้อมแสดงความเป็นผู้นำตั้งแต่วันแรก
ความหวังใหม่ภายใต้การคุมทีมของฮันซี่ ฟลิค
เมื่อย้ายมาสู่ถิ่นคัมป์ นู แรชฟอร์ดจะได้ร่วมงานกับ ฮันซี่ ฟลิค เฮดโค้ชชาวเยอรมันที่มีดีกรีแชมป์โลกและแชมป์ยุโรป ซึ่งเพิ่งรับตำแหน่งแทน ชาบี เอร์นานเดซ และเริ่มวางแผนสร้างทีมใหม่ที่เน้นความสมดุลระหว่างดาวรุ่งกับนักเตะประสบการณ์สูง
การมาของแรชฟอร์ดนับเป็นการเสริมทัพลำดับที่สามในตลาดซัมเมอร์ของบาร์เซโลนา ต่อจาก:
- โจน การ์เซีย (ผู้รักษาประตูจากราโย บาเยกาโน่)
- รูนีย์ บาร์ดจี (กองหน้าดาวรุ่งชาวเดนมาร์กจากโคเปนเฮเกน)
แรชฟอร์ดได้รับการคาดหวังว่าจะเป็นตัวเลือกสำคัญในการเพิ่มมิติเกมรุกทั้งริมเส้นและแดนกลาง เนื่องจากเขาสามารถเล่นได้ทั้งฝั่งซ้าย ขวา หรือแม้แต่กองหน้าตัวเป้า
คู่แข่งในตำแหน่งเกมรุก
อย่างไรก็ตาม การยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมของบาร์ซ่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเขาต้องแข่งขันกับสองนักเตะฟอร์มแรงประจำฤดูกาลก่อน:
- ลามีน ยามาล ดาวรุ่งวัย 17 ปี ที่ยิงไป 18 ประตู 16 แอสซิสต์
- ราฟินญ่า แนวรุกทีมชาติบราซิลที่ทำได้ถึง 34 ประตู 17 แอสซิสต์
การแทรกตัวเข้าสู่ทีมชุดใหญ่จึงถือเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของแรชฟอร์ด หากเขาต้องการอยู่กับทีมต่อแบบถาวรในฤดูกาลหน้า

ภาพจากแฟนเมดแรชฟอร์ดในชุดบาร์ซ่า แสดงกระแสตื่นเต้นและการคาดหวังว่าหมายเลข 14 จะกลายเป็นเบอร์ของเขา
แรงสนับสนุนจากแฟนบอลและเบอร์เสื้อใหม่
การมาของแรชฟอร์ดได้รับเสียงตอบรับที่อบอุ่นจากแฟนบอลบาร์เซโลนา โดยมีภาพจิตรกรรมฝาผนังวาดเขาในชุดแข่งบาร์ซ่าปรากฏตามถนนหลายแห่งในคาตาโลเนีย
เขาได้รับมอบหมายให้สวมเสื้อหมายเลข 14 ซึ่งถือเป็นหมายเลขระดับตำนานที่เคยเป็นของนักเตะชื่อดังอย่าง โยฮัน ครัฟฟ์, เธียร์รี อองรี, และล่าสุดคือ ปาโบล ตอร์เร
เบอร์เสื้อนี้มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ว่า บาร์เซโลนามองว่าแรชฟอร์ดมีศักยภาพจะเป็นผู้เล่นสำคัญของทีมในอนาคต
โปรไฟล์และประสบการณ์ระดับสูง
แรชฟอร์ดไม่ใช่ผู้เล่นหน้าใหม่ในเวทีใหญ่ เขาลงเล่นให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปแล้วกว่า 426 นัด ยิงได้ 138 ประตู คว้าแชมป์รวม 5 รายการ และติดทีมชาติอังกฤษ 62 นัด ยิง 17 ประตู
ด้วยประสบการณ์ทั้งในพรีเมียร์ลีกและยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ทำให้เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีความพร้อมที่สุดสำหรับความท้าทายในลาลีกา
เป้าหมายต่อไปในเวทียุโรป
แม้บาร์เซโลนาจะประสบความสำเร็จในลาลีกาโดยคว้าแชมป์ได้ภายใต้การคุมทีมของฟลิคตั้งแต่ฤดูกาลแรก แต่เป้าหมายใหญ่จริง ๆ คือการกลับมาทวงบัลลังก์ใน ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก
การเซ็นสัญญาแรชฟอร์ดจึงไม่ใช่แค่เพื่อเสริมทีมเท่านั้น แต่เป็นสัญลักษณ์ของแผนการระยะยาวในการ “ยกระดับศักยภาพ” เกมรุกของทีมให้สามารถต่อกรกับยักษ์ใหญ่ยุโรปอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้, เรอัล มาดริด และบาเยิร์น มิวนิก ได้อย่างสูสี
สรุป
การย้ายมาร่วมทัพบาร์เซโลนาของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ถือเป็นการปิดฉากช่วงเวลาอันยาวนานกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเปิดโอกาสครั้งใหม่ในเส้นทางอาชีพของเขาในวัย 27 ปี
ด้วยข้อตกลงยืมตัวพร้อมออปชั่นซื้อขาด ค่าเหนื่อยที่ลดลง และแรงสนับสนุนจากแฟนบอล เขามีทุกสิ่งพร้อมสำหรับการเริ่มต้นใหม่ในถิ่นคัมป์ นู
ฤดูกาลนี้จะเป็นบทพิสูจน์ว่าเขาสามารถยึดตัวจริงในทีมของฮันซี่ ฟลิคได้หรือไม่ และหากเขาทำได้ บาร์เซโลนาอาจกลายเป็นบ้านหลังใหม่ที่แท้จริงของเขา